พ่อแม่รักลูกทุกคนเท่ากันจริงหรือ คนเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้องจริงไหม


แพทย์หญิงพนิดา รณไพรี
กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก โรงพยาบาลมนารมย์

ปัญหาพี่น้องทะเลาะกัน อิจฉากัน หรือรู้สึกว่าได้รับความรักจากพ่อแม่ไม่เท่ากัน ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสถาบันครอบครัว ที่พ่อแม่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน


แพทย์หญิงพนิดา รณไพรี กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก โรงพยาบาลมนารมย์ จึงได้ให้คำแนะนำเพื่อเป็นแนวทางให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูก หรือกำลังจะมีลูกคนต่อไป ว่าควรเตรียมวิธีการเลี้ยงดูลูกๆ อย่างไร ไม่ให้พี่น้องเกิดปัญหาคาใจกันต่อไปในอนาคต


‘พ่อแม่รักลูกทุกคนเท่ากัน’ เป็นจริงหรือไม่…

รักเป็นความรู้สึก คงไม่มีใครตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง ทั้งที่รักเท่ากันและไม่เท่ากัน ขึ้นกับบริบทว่า พ่อแม่ลูกมีภูมิหลังกันมาอย่างไร แต่ความรู้สึกก็ไม่สำคัญเท่าการแสดงออก ถึงแม้เราจะรู้สึกรักลูกเท่ากันหรือไม่เท่ากัน รักเหมือนหรือไม่เหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ พ่อแม่ควรจะแสดงออกในทางบวกกับลูกทุกคน แสดงให้ลูกรับรู้ว่ารัก รักและหวังดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่จะออกมาในรูปแบบใดก็แล้วแต่ครอบครัว


พี่น้องทะเลาะกัน

พ่อแม่จะแสดงออกถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขได้อย่างไร


เริ่มได้ตั้งแต่วัยทารกที่ต้องการการตอบสนองทางกาย อยากให้พ่อแม่ใส่ใจดูแลทางกาย เช่น เวลาเขาร้อง แล้วพ่อแม่เข้าไปดูแล เข้าไปหาสาเหตุว่าทำไมเขาถึงร้องไห้ พ่อแม่ไม่รังเกียจที่จะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขา เราอาจรู้สึกว่าเด็กไม่รู้เรื่องหรอก แต่จริงๆ เด็กจะซึมซับเรื่องพวกนี้ และรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร พ่อแม่ก็ยังรัก แต่พ่อแม่บางคน พอเห็นลูกร้องไห้ก็ปล่อยให้ร้องไป ไม่สนใจลูก ไม่ตอบสนองทางกายต่อลูก การทำแบบนี้จะทำให้เด็กไม่เชื่อมั่นในความรักของพ่อแม่



พี่น้องทะเลาะกัน


สังเกตพฤติกรรมลูก เมื่อเขารู้สึกว่าได้รับความรักไม่เท่าคนอื่น


เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจบอกมาตรงๆ ว่า แม่ไม่รักหนูเหรอ แต่เด็กบางคนจะเก็บเข้าไปไว้ข้างใน และแสดงอาการอย่างอื่นออกมาแทน ถ้ากังวลมากๆ ก็จะส่งผลต่อเรื่องของการกินการนอนที่ผิดปกติ บางคนอาจดื้อ บางคนอาจเก็บตัว ซึมเศร้า เล่นคนเดียว พฤติกรรมเด็กจะเปลี่ยนไปได้หลายอย่าง ซึ่งพ่อแม่ต้องคอยสังเกตดูว่าลูกมีพฤติกรรมแปลกไปจากเดิมไหม



พี่น้องทะเลาะกัน

สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ


1. ต้องสะท้อนความรู้สึก หลักการพูดคุยกับเด็ก เราต้องคลายความกังวลของเขา ด้วยวิธีการสะท้อนความรู้สึก สังเกตความรู้สึกลูก และพูดความรู้สึกที่สังเกตได้ออกมา ลูกจะรู้ว่าแม่เข้าใจเขา เป็นพวกเดียวกับเขา เช่น “แม่เข้าใจนะคะ หนูรู้สึกเสียใจใช่ไหมคะ หนูรู้สึกเหงาใช่ไหม หนูรู้สึกว่าคุณแม่รักหนูน้อยลงใช่ไหมคะ” ให้พูดแบบนี้ก่อน แล้วอธิบายว่าแม่สังเกตได้ “แม่เข้าใจหนูนะ จริงๆ แล้วแม่ยังรักหนูเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าน้องยังเล็ก น้องยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม่เลยต้องช่วยเหลือน้องก่อน แต่หนูช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว หนูช่วยคุณแม่ได้ด้วย ตอนที่หนูเด็กๆ แม่ก็ทำอย่างนี้กับหนูเหมือนกัน”
2. บอกให้ชัดเจน พ่อแม่ควรบอกลูกให้ชัดเจน ว่ายังรักลูกเหมือนตอนที่มีเขาเป็นลูกแค่คนเดียวเสมอ ถ้ามีคลิปวิดีโอตอนที่ลูกยังเด็กมาเปิดให้ดู จะช่วยให้ลูกคลายกังวลลงได้
3. การแสดงออก จะแสดงออกยังไงขึ้นอยู่กับอายุของเด็ก ถ้ายังเด็กมากๆ ก็เล่านิทาน เล่าเปรียบเทียบ เช่น อาจบอกว่าเวลาลูกออกไปยืนที่สนามหน้าบ้าน ยืนใต้ดวงอาทิตย์ ไม่ว่าลูกจะก้าวไปยืนตรงไหน ลูกก็ยังได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ ก็เหมือนกับความรักของแม่ ไม่ว่าลูกจะเป็นลูกคนที่เท่าไร จะยืนอยู่ตรงไหน ลูกจะได้รับความรักจากพ่อแม่เท่าเดิม


พี่น้องทะเลาะกัน

คนเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง!


การสอนว่าคนเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้องเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม ลำดับการเกิดไม่ได้เป็นสิทธิพิเศษ หรือเป็นตัวกำหนดว่าพี่จะต้องให้น้องเสมอ น้องจะต้องรับเสมอ ต้องดูตามสิทธิ เพราะไม่สมควรที่จะต้องมีอะไรให้น้องหรือพี่ก่อน ควรสอนให้เด็กรู้จักของของตัวเอง พิทักษ์สิทธิของตัวเอง พิทักษ์สิทธิของคนอื่น และไม่ล่วงละเมิดสิทธิของคนอื่น



สอนเรื่องสิทธิให้เด็ก


ต้องปลูกฝังตั้งแต่เล็กๆ เวลาที่ลูกทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องบอกลูกคนโตว่าต้องรักน้องนะ เพราะความรักระหว่างพี่น้อง เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ แต่ต้องมีกติกาว่า ทุกคนมีสิทธิในของของตัวเองอย่างไร ตั้งขอบเขตของตน และไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น เช่น ของของตัวเอง ตัวเองก็ต้องมีสิทธิ ถ้าน้องอยากได้ ก็ต้องบอกน้องว่าอันนี้เป็นของของพี่เขา เป็นสิทธิของพี่ เพราะฉะนั้น พี่มีสิทธิที่จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ เวลาน้องจะเล่นของพี่ น้องต้องมาขอ ถ้าพี่ให้ก็โอเค ถ้าพี่ไม่ให้ เราก็จะไม่มีการบังคับว่าต้องให้ เพียงแต่ถ้าพี่ยอมให้น้อง พ่อแม่อาจชมว่าลูกมีน้ำใจ “หนูเก่งมากเลยที่แบ่งของให้น้องเล่น” แต่ถ้าพี่ไม่ให้ เราก็จะไม่ว่าลูก อาจชวนให้เขาคิดว่า “หนูยังไม่พร้อมที่จะให้น้องใช่ไหม แล้วหนูมีของเล่นอย่างอื่นที่อยากให้น้องเล่นแทนไหม” นี่คือการสอนให้พี่รู้จักสิทธิของตัวเอง และสอนให้น้องรู้ว่า ของของคนอื่น เขาก็มีสิทธิที่จะไม่ให้เราได้


เวลาทะเลาะกัน คนเป็นพี่มักเป็นฝ่ายผิดและถูกต่อว่าเสมอ


ควรว่ากันไปตามผิดตามถูก ไม่ได้ว่าตามความเป็นพี่หรือน้อง ไม่มีการทำโทษไปก่อนทั้งคู่ ต้องสอบสวนว่าตกลงใครทำก่อน และลงโทษไปตามความผิด สำหรับเด็กโต ถ้ามีเรื่องขัดแย้งกัน เราลองถามเขาว่า อยากคุยกันเองก่อนไหม ลองให้เขาแก้ปัญหากันเองก่อน พ่อแม่อาจยังไม่ต้องเข้าไปมีบทบาท ถ้ามันยังไม่รุนแรงมาก รอดูว่าเขาจะจัดการปัญหาอย่างไร ถ้าพี่น้องจัดการกันได้ก็โอเค แต่ถ้าจัดการกันไม่ได้แล้ว เราอาจเข้าไปถามทั้งสองคน ว่ามีอะไรอยากบอกพ่อกับแม่ไหม มีอะไรอยากให้พ่อกับแม่ช่วยไหม ถ้าเขาบอกว่าไม่เป็นไร จัดการเองได้ ก็ต้องเคารพในสิทธิของเขา แต่ถ้าสมมติพี่มาฟ้องว่าน้องแย่งของเล่นหนู และน้องก็ตีหนูด้วย พ่อแม่ควรตั้งใจรับฟัง ไม่ตัดสิน และลองฝึกให้เขาแก้ปัญหาเอง แต่ถ้าพ่อแม่เห็นว่าใครเป็นคนทำผิด ก็ต้องลงโทษคนที่ทำผิด



พี่น้องทะเลาะกัน

ลงโทษลูกเชิงบวก ดีกว่าใช้วิธีการรุนแรง


ไม่แนะนำให้ใช้วิธีการทำโทษรุนแรง ลองใช้เป็น positive time-out ให้ลูกรู้สำนึกด้วยตัวเอง เหตุการณ์ไหนที่พ่อแม่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็ทำให้เขารู้ว่าพฤติกรรมนี้สังคมยอมรับไม่ได้ เช่น น้องตีพี่ แล้วลงไปร้องดิ้นที่พื้น สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือ จับพี่กับน้องแยกกัน ให้น้องไปอยู่มุมสงบ แล้วอธิบายให้น้องฟังว่า “ตอนนี้หนูกำลังโมโห หนูน่ากลัวมาก แม่กลัว พี่กลัว เรายังคุยกันไม่ได้ และทุกคนไม่ชอบ แม่อยากให้หนูนั่งอยู่ตรงนี้ก่อน และสงบสติอารมณ์ก่อน ถ้าเมื่อไหร่หนูสงบสติอารมณ์ได้ แล้วค่อยกลับมาคุยกัน” พอเขาสงบสติอารมณ์ได้แล้ว และเดินกลับมาหาแม่ พ่อกับแม่ก็ต้องแสดงให้เห็นว่า นี่เป็นพฤติกรรมที่พ่อแม่ยอมรับได้ ชมเขาว่า “ดีมาก ที่หนูระงับตัวเองได้ หนูสงบแล้ว อย่างนี้ทุกคนไม่กลัว ทุกคนพร้อมจะคุยกับหนูแล้ว”


การเลี้ยงดูพี่น้องแบบผิดๆ ส่งผลกระทบต่อจิตใจเด็ก


การสอนคนเป็นพี่ว่าต้องเสียสละเสมอหรือผิดเสมอ จะทำให้เด็กเก็บกด กัดกร่อนจิตใจ ไม่เชื่อมั่นในความรักของพ่อแม่ และเกิดคำถามว่า ทำไมต้องโดนทำโทษทุกครั้ง นี่เป็นเพราะน้องที่ทำให้เราถูกลงโทษ เมื่อพี่เจอเหตุการณ์แบบนี้หลายๆ ครั้ง ก็จะกลายเป็นพี่ที่เกลียดน้องได้


พี่น้องทะเลาะกัน


พี่น้องอิจฉากัน ปัญหาบ้านแตก


การป้องกัน คือ วิธีแก้ไขปัญหานี้ที่ดีที่สุด พ่อแม่ต้องวางแผนตั้งแต่จะตั้งท้องเลย อายุลูกที่ห่างกันสองปี เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องจะอิจฉากันมากที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าวางแผนจะมีลูก อยากให้พี่คนโตอายุมากกว่าสามขวบขึ้นไป ก็จะพอป้องกันปัญหานี้ได้ หรือถ้าป้องกันไม่ทันแล้ว ช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งท้องคนน้อง แม่ต้องพยายามทำกิจกรรมกับลูกคนโตให้ปกติเท่าที่จะเป็นได้ ถ้ามีแรงอยู่ก็อุ้มลูก อ่านหนังสือนิทานให้ฟัง เวลาพูดถึงน้องที่กำลังจะเกิดมา อาจจะแค่บอกว่า “เดี๋ยวช่วงเดือนมกราคม บ้านเราจะมีเบบี๋อีกคนนะลูก เป็นน้องของหนู” เมื่อน้องคลอดออกมาแล้ว ถ้าพี่อยากจะกอด อยากจะหอม อยากจะอุ้มน้อง หรืออยากจะช่วยเลี้ยงน้อง ก็ควรอนุญาตให้พี่ได้ทำ แต่ไม่ควรบังคับให้ต้องทำนั่นทำนี่ให้น้อง พ่อแม่ควรมี quality time กับคนพี่ให้เหมือนเดิม อย่าให้เขารู้สึกเหมือนโดนแย่งความรัก คุณพ่อคุณแม่อาจต้องช่วยกัน เช่น ช่วงที่ลูกคนพี่เล่นกับคุณแม่ คุณพ่อก็ช่วยดูลูกคนเล็กไป


ปัญหาของลูกคนกลาง (Wednesday’s Child) ที่พ่อแม่มักมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญ


ลำดับการเกิดก็มีผลต่อจิตใจและอารมณ์ของลูกจริงๆ สภาวะลูกคนกลาง อาจส่งผลให้ลูกรู้สึกไม่มั่นคงได้ และตัวแม่เองก็อาจทำให้ลูกรู้สึกแบบนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ลูกคนแรกอาจจะดูแลดี ลูกคนที่สอง พ่อแม่อาจรู้สึกเฉยๆ ที่เขาเกิดมา ทำให้ไม่ได้ดูแลเป็นพิเศษ แต่พอมีลูกคนเล็กกลับมีความรู้สึกว่า ต้องดูแลเอาใจใส่เยอะ ก็จะทำให้ลูกคนกลางน้อยเนื้อต่ำใจ ระแวง สงสัยต่อความรักของพ่อแม่ และอาจส่งผลต่อพฤติกรรม เช่น ลูกคนกลางดื้อ ต่อต้าน โมโหก้าวร้าว หรือไม่ก็เป็นเด็กที่มีพฤติกรรมยอมคน ซึ่งถามว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมผิดปกติไหม มันก็ไม่ผิดปกติ มันเกิดขึ้นได้


ขอบคุณข้อมูลจาก www.aboutmom.com





  • ค้นหาแพทย์และนักบำบัด
  • โทรนัดหมายแพทย์
  • ติดต่อสอบถาม