นายแพทย์ไกรสิทธิ์  นฤขัตพิชัย
                        
จิตแพทย์ โรงพยาบาลมนารมย์
                    
 
            
         
        
   
        
          
                    ในอดีตปัญหาสุขภาพของคนเรา เป็นเรื่องของการเจ็บป่วยทางกายที่เกิดจากโรคติดเชื้อเป็นหลัก การเกิดโรคระบาดแต่ละครั้งมีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก
                        แต่ความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันสามารถลดปัญหานี้ลงได้โดยมีทั้งวัคซีนเพื่อป้องกันและยาเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
                        สาเหตุหลักของความเจ็บป่วยในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องโรคติดเชื้อแต่จะเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับวิธีการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล
                        ซึ่งมักเป็นชีวิตที่เร่งรีบ เช่น การกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การขาดการออกกำลังกาย การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอและการไม่สามารถควบคุมหรือรับมือกับความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างเหมาะสม
                        โรคเหล่านี้ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน มะเร็งและโรคซึมเศร้า สุขภาพกายและสุขภาพใจเป็นสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องใกล้ชิดกันอย่างมากแทบเป็นสิ่งเดียวกัน
                        ก็ว่าได้ ในยุคข้อมูลข่าวสาร ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์มีความซับซ้อนขึ้นเป็นอย่างมาก โครงสร้าง ครอบครัว สังคม ประชากรและความสัมพันธ์ระหว่างกันก็เปลี่ยนไป
                        คนที่ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็มีความเครียดสูง และเมื่อความเครียดสะสมอยู่เป็นระยะเวลายาวนาน สามารถทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจ
                    
                    
                    
           
                
                        
                    
                     
                
                    
                    
                         สาเหตุใหญ่ที่คนเราเกิดความเครียดก็เพราะไม่สามารถควบคุมความคิดของตนเองได้ ทุกๆ วินาที สมองของคนเราไม่สามารถหยุดคิดได้
                            การคิดมีทั้งการคิดเกี่ยวกับตนเองหรือผู้อื่น การคิดถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มีได้ทั้งการคิดในแง่บวกและแง่ลบ แต่คนส่วนใหญ่มักคิดถึงสิ่งต่างๆ
                            ในแง่ลบ ทั้งนี้เกิดจากความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่มั่นใจต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อสภาพแวดล้อม การคิดลบทำให้เกิดข้อเสียมากมาย
                            เช่น การคิดลบต่อตนเองทำให้เกิดความท้อแท้หมดกำลังใจ การคิดลบต่อผู้อื่นทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างทั้งในครอบครัว
                            ในที่ทำงาน หรือในสังคมเพื่อนฝูง การคิดลบต่อเหตุการณ์ในอดีตก็ทำให้เกิดปัญหาได้ เช่น ความผิดหวัง เสียใจ คิดโทษตำหนิตนเอง
                            หรือโทษผู้อื่น ทำให้เกิดความโกรธแค้น ติดค้างอยู่ในใจ การคิดลบต่อเหตุการณ์อนาคตที่ยังมาไม่ถึงเป็นการมองโลกในแง่ร้าย
                            ทำให้เกิดความวิตกกังวลและถ้ามีมากเกินไปก็บั่นทอนความสามารถในการรับมือกับปัญหาในชีวิตหรือแม้แต่ทำให้เกิดการล้มป่วยลงได้
                            คนที่มองสิ่งต่างๆ ในแง่บวก จะได้รับสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ มีกำลังใจในการเผชิญชีวิต การมองผู้อื่นในแง่บวกได้ก็จะมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบข้าง
                            ไม่ค่อยมีความขัดแย้ง ความเครียดก็น้อย คนที่มองอดีตในแง่บวกได้ สามารถยกโทษ ให้อภัยผู้อื่นหรือตนเองต่อความผิดพลาด ไม่มีภาวะโกรธแค้นหรือเสียใจติดค้างอยู่ภายใน
                            ส่วนการมองอนาคตด้านบวกได้ก็จะทำให้มีความหวัง ความเชื่อมั่น และมีกำลังใจ มีความพยายามที่จะไปต่อได้
                        
                    
                    
                    
                    
                            
                        
                         
                    
                    
                    
                         คนที่มองสิ่งต่างๆ ในแง่บวกได้เป็นส่วนใหญ่นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีความสามารถมองสิ่งต่างๆ ในด้านบวกได้
                            ก็สมควรต้องฝึกเพราะเป็นทักษะที่จำเป็นและสำคัญต่อการมีชีวิตที่มีความสุข คนที่มีความคิดต่อสิ่งต่างๆ ในด้านบวกได้นั้นต้องสามารถรู้เท่าทันความคิดของตนเอง
                            นั่นก็คือ มีสติ มีตำราจำนวนมากเขียนถึงเทคนิคการฝึกสติ ซึ่งผู้เขียนแต่ละคนก็มีเทคนิควิธีการต่างๆ กันออกไป ผู้ฝึกแต่ละคนไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคเดียวกัน
                            ขอเพียงแต่ทำให้เกิดการรู้เท่าทันความคิดของตนเองได้ก็พอ
                        
                    
                    
                    
                        หลักใหญ่ของการฝึกสติก็คือ การฝึกผ่อนคลายทั้งทายกายและทางใจ ส่วนใหญ่เน้นให้เฝ้าสังเกตอารมณ์ความคิดของตนเองให้อยู่กับปัจจุบัน
                            คนที่สามารถฝึกสติก็ไม่ใช่ว่าจะควบคุมความคิดของตนเองให้อยู่กับปัจจุบัน ได้ร้อยเปอร์เซนต์ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามการอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้นกว่าเดิม
                            รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้มากกว่าเดิม ก็ช่วยให้ปัญหาความวิตกกังวลต่ออนาคตหรือความโกรธแค้นเสียใจกับอดีตลดน้อยลง การมองสิ่งต่างๆ
                            ในแง่บวกได้ ทำให้มีกำลังกาย กำลังใจสำหรับต่อสู้กับปัญหาในปัจจุบันและก่อให้เกิดอนาคตที่มีผลลัพธ์ดีกว่าที่ผ่านมาในอดีต
                            ทำให้มีความสุขกับชีวิตนเองได้มากขึ้น