ผศ. นพ.สมบัติ ศาสตร์รุ่งภัค
นพ.ยุทธนา องอาจสกุลมั่น
จิตเวชผู้ใหญ่ โรงพยาบาลมนารมย์
มนุษย์ทุกคนมีความกังวล และความกังวลก็ทำให้เราต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ความกังวลเป็นสัญญาณเตือนว่ามีอะไรบางอย่างกำลังคุกคามเราอยู่หรือเรากำลังจะเจออันตรายบางอย่าง
ดังนั้นเป็นเรื่องปกติและเข้าใจได้ ถ้าเรารู้สึกกังวลที่ต้องไปสัมภาษณ์งาน เพราะเราอาจถูกปฏิเสธงาน ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้
แต่ถ้าความกังวลนั้นเป็นความกังวลจากความคิดของตนเอง และถ้าความคิดนั้นเป็นความคิดที่เราไม่น่ามีโอกาสที่จะทำตาม แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะทำ
ยกตัวอย่างเช่น ขณะเดินผ่านศาลพระภูมิบังเอิญมีความคิดอยากตะโกนด่าศาลพระภูมิ เป็นต้น คนที่มีความคิดเช่นนี้บ่อย ๆ จะเกิดความรู้สึกกังวลมาก
ซึ่งก็มักทำให้คน ๆ นั้นมีพฤติกรรมบางอย่างเพื่อทำให้ความกังวลลดลง อย่างน้อยก็ชั่วคราว เช่น ไม่เดินผ่านศาลพระภูมิ ไหว้และขอโทษศาลพระภูมิทุกครั้งที่คิด
ความคิดและพฤติกรรมที่กล่าวไปนั้นพบได้ในคนทั่วไปเช่นกัน แต่หากคน ๆ นั้นมีความคิดและพฤติกรรมดังกล่าวบ่อย ๆ จนรบกวนการทำงาน
การเข้าสังคม หรือทำให้มีความทุกข์ เราก็สามารถบอกได้ว่า คน ๆ นั้นกำลังได้รับความทุกข์จาก “โรคย้ำคิดย้ำทำ”
หลายท่านคงเคยได้ยินชื่อโรคนี้มาบ้าง บางคนก็ว่าเป็นความเจ็บป่วย บางคนก็ว่าเป็นนิสัยของคน ๆ นั้น เราลองมาทำความเข้าใจโรคนี้ให้ชัดเจนกันดีกว่าว่า
“โรคย้ำคิดย้ำทำ” นั้นคืออะไร
ในทางการแพทย์เรามองกันว่า คนที่ถูกเรียกว่าป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ต้องมีอาการสำคัญ 2 ประการ ซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ใจและสร้างปัญหาต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
การงาน หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล อาการดังกล่าว ได้แก่ อาการย้ำคิด (Obsession) และอาการย้ำทำ (Compulsion)
อาการย้ำคิด คือ
การมีความคิดหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองซ้ำๆ โดยไร้เหตุผล ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลใจ ความไม่สบายใจอย่างมาก เช่น คิดซ้ำ ๆ ว่าจะทำร้ายหรือทำสิ่งไม่ดีกับคนที่ตนรัก
คิดซ้ำ ๆ ว่าลบหลู่หรือด่าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดซ้ำ ๆ ว่าลืมปิดแก๊สหรือลืมล๊อคประตู เป็นต้น โดยที่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเกิดความคิดเช่นนั้น
อาการย้ำทำ คือ
พฤติกรรมหรือการกระทำการบางอย่างซ้ำ ๆ เพื่อป้องกันหรือช่วยลดความไม่สบายใจจากความย้ำคิดข้างต้น และเป็นการกระทำที่ตนเองก็รู้สึกได้ว่าไร้เหตุผล
ไร้สาระที่จะกระทำแต่ก็หักห้ามจิตใจไม่ให้ทำไม่ได้ เช่น เช็คลูกบิดประตูหรือวาล์วแก๊สซ้ำ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าปิดเรียบร้อยแล้ว
ล้างมือซ้ำเพราะคิดว่ามือสกปรก เป็นต้น
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไปพบแพทย์ทางกายมากกว่ามาพบจิตแพทย์โดยตรง อาการที่มาพบแพทย์ได้บ่อย ๆ เช่น แผลถลอกที่มือ มือเปื่อย เหงือกอักเสบจากการแปรงฟันบ่อย
ๆ ในผู้ป่วยเด็กพ่อแม่อาจพามาตรวจด้วยปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็ก
ในผู้ป่วยที่มาพบจิตแพทย์โดยตรง มักมาด้วยอาการย้ำคิดเกี่ยวกับเรื่องความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย พฤติกรรมทางเพศและพฤติกรรมรุนแรง
ส่วนอาการย้ำทำ เช่น ตรวจเช็คกลอนประตู ถามเรื่องเดิมซ้ำซาก ล้างมือ นับสิ่งของ การจัดวางของให้เป็นระเบียบซ้ำ ๆ ผู้ป่วยบางรายมาด้วยอาการย้ำคิดหลาย
ๆ เรื่อง หรือย้ำทำหลาย ๆ พฤติกรรม ทำให้รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอย่างมาก
กล่าวถึงสาเหตุการเกิดของโรคนี้ แบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยหลักใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ปัจจัยด้านชีวภาพ
พบว่าในผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำ มีความผิดปกติของสารสื่อประสาทบางชนิด เช่น สารเซโรโทนิน การทำงานของสมองส่วนหน้าและส่วน Basal
ganglia รวมถึงปัจจัยด้านพันธุกรรมผิดปกติไปก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
2. ปัจจัยด้านจิตใจ
ผู้ป่วยอาจมีความขัดแย้งในระดับจิตใต้สำนึก และพยายามใช้กลไกทางจิตเพื่อจัดการกับความตึงเครียดในใจ แต่ไม่ได้ผล กลับส่งผลให้เกิดการแสดงออกเป็นอาการดังกล่าว
ลักษณะการดำเนินโรคนั้น จัดได้ว่าเป็นโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะหากมีอาการตั้งแต่เด็ก แต่ส่วนใหญ่อาการมักเป็นอย่างเฉียบพลัน บางรายจะมีอาการเป็น
ๆ หาย ๆ ร้อยละ 50-70 มีความเครียดนำมาก่อน เช่น การตั้งครรภ์ ปัญหาทางเพศ ญาติหรือคนใกล้ชิดตายจากไป แม้ว่าคนเป็นโรคนี้จะป่วยเรื้อรัง
แต่หลังจากได้รับการรักษาแล้ว กว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นมากจนใช้ชีวิตได้เกือบปกติ คงเหลือเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่อาการคงเดิมหรืออาจแย่ลง
มีการศึกษาติดตามกลุ่มเด็กที่เคยป่วยเป็นโรคนี้มานาน 2 ถึง 7 ปี พบว่า เมื่อโตขึ้นร้อยละ 43 ยังคงมีอาการรุนแรงเท่าเดิม ร้อยละ
45 มีอาการอยู่บ้างแต่อาจไม่ถึงกับรบกวนชีวิตประจำวันมากนัก มีเพียงร้อยละ 11 เท่านั้น ที่พบว่าไม่มีอาการหลงเหลืออยู่เลย
การรักษาที่ดีที่สุด คือ การใช้ยาร่วมกับการทำพฤติกรรมบำบัด
1. ยา
ยารักษาโรคย้ำคิดย้ำทำมีอยู่หลายขนาน ยาเหล่านี้ช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทเซโรโทนิน จนเป็นปกติ ซึ่งหลังจากรักษาอาการเป็นปกติแล้ว
แพทย์ยังต้องให้การรักษาต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำอีกระยะหนึ่ง จึงหยุดยา
2. พฤติกรรมบำบัด
ฝึกเผชิญกับสิ่งที่กังวลหรือกลัวอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง ร่วมกับการพยายามไม่ให้ความสนใจกับอาการของโรค และหาวิธีป้องกันการกระทำซ้ำ ๆ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยกลับไปทำหน้าที่ตามเดิมให้ได้มากที่สุด