พญ.กมลชนก เหล่าชัยศรี
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น จิตแพทย์ทั่วไปโรงพยาบาลมนารมย์
“แอสเพอร์เกอร์” เป็นหนึ่งในความผิดปกติที่อยู่ในกลุ่มของ “ออทิสติก” ที่พ่อแม่หลายคน เมื่อได้ยินคำนี้ก็มักมีความกังวลใจอย่างสูง
เนื่องจากมีความเชื่อฝังใจกับความหมายเชิงลบเกี่ยวกับโรคออทิสติก ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วผู้ที่ป่วยเป็นแอสเพอร์เกอร์ สามารถดำเนินชีวิต
และประสบความสำเร็จได้ไม่น้อยกว่าคนปกติทั่วไป เพียงแต่พ่อและแม่หรือผู้เลี้ยงดูต้องมีความเข้าใจและให้การดูแลช่วยเหลืออย่างถูกวิธี
เชื่อหรือไม่ว่าอัจฉริยะระดับโลกหลายคนมีประวัติเข้าข่ายการเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์อาทิเช่น นักฟิสิกส์ชื่อก้องโลกอย่าง “ไอน์สไตน์”
นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วง “เซอร์ไอแซค นิวตัน” รวมถึงผู้กำกับมือทองอย่าง “สตีเวน สปีลเบิร์ก” ตัวอย่างของอัจฉริยะทั้งหลายนี้แสดงให้เห็นว่า
“แอสเพอร์เกอร์” ถึงแม้จะเป็นภาวะอาการหนึ่งในกลุ่มของออทิสติก แต่ไม่สามารถปิดกั้นความเป็นอัจฉริยภาพได้ หากเราเรียนรู้และเข้าใจวิธีการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง
ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า “แอสเพอร์เกอร์” เกิดจากสาเหตุใด แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเลี้ยงดู โดยมีงานวิจัยในต่างประเทศพบว่าในปัจจุบันมีผู้ป่วยในกลุ่มภาวะความผิดปกติประเภทออทิสติก
(Autistic Spectrum) เฉลี่ยประมาณร้อยละ 1 และพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ผู้ป่วยแอสเพอร์เกอร์ส่วนใหญ่มีความสามารถทางสติปัญญาในเกณฑ์ปกติ
บางรายอยู่ในขั้นดีเลิศ โดยพฤติกรรมผิดปกติของแอสเพอร์เกอร์คือ ปัญหาด้านพัฒนาการของทักษะทางสังคมซึ่งพ่อ แม่ ครู และผู้ปกครอง
สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่วัยเด็กในช่วงตั้งแต่เด็กเริ่มหัดพูด
เด็กที่มีภาวะแอสเพอร์เกอร์จะไม่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึก ความต้องการของผู้อื่น จึงพูดแต่ในแง่มุมของตัวเองเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ลักษณะการพูดคุยสื่อสารทางสังคมแบบโต้ตอบที่มีลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย
และมักมีการดำเนินกิจวัตรประจำวันรูปแบบเดิมซ้ำๆ ไม่เปลี่ยนแปลง หากมีการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันที่แตกต่างไปจากเดิม
จะเกิดความเครียดขึ้นทันที ซึ่งบางครั้งอาจรุนแรงถึงขั้นหงุดหงิด โกรธ อาละวาด เมื่อพบว่าเด็กมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับลักษณะดังกล่าว
ควรให้แพทย์วินิจฉัยอย่างละเอียดด้วยการตรวจร่างกาย ระบบประสาท พัฒนาการ และสภาพจิต เพื่อประเมินและหาแนวทางช่วยเหลือ
นอกจากภาวะทางด้านการสื่อสารและด้านสังคมที่พบได้แล้ว เด็กที่ป่วยด้วยโรคแอสเพอร์เกอร์อาจพบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ การมีพฤติกรรมก้าวราว
ทำร้ายตัวเอง ย้ำคิดย้ำทำ อารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วยก็อาจจะต้องใช้ยาร่วมกับการทำพฤติกรรมบำบัดในการรักษา
การช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ในด้านพัฒนาการทางสังคม จะต้องสอนทักษะการปฏิบัติตัวทางสังคมในชีวิตประจำวัน สอนวิธีการแก้ไขสถานการณ์ที่พบบ่อยและเป็นปัญหา
การช่วยสอนให้รับรู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร รวมถึงการสอนให้มีการประเมินพฤติกรรมของตนเองว่าเหมาะสมเพียงใด
และสอนให้เข้าใจความเกี่ยวโยงของสถานการณ์กับความรู้สึกด้วย นอกจากนี้เด็กแอสเพอร์เกอร์ควรได้รับความร่วมมือจากครูและสถานศึกษาด้วย
รวมทั้งการช่วยเหลือและทำความเข้าใจกับเพื่อนร่วมชั้นของเด็ก ครูผู้สอนควรใช้วิธีการสื่อสารที่สั้น ชัดเจน ตรงประเด็น
และต้องตรวจสอบความเข้าใจของเด็กทุกครั้ง รวมถึงการสอนให้เด็กมีทักษะโต้ตอบทางสังคมในเรื่องกฎกติกา มารยาท สิทธิส่วนบุคคล
การปฏิบัติตนกับคนแปลกหน้า และการแสดงออกต่างๆ กับบุคคลอื่น
ภาวะแอสเพอร์เกอร์ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความยากลำบากในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทำให้โลกของเด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากความบกพร่องด้านทักษะทางสังคมร่วมกับมีพฤติกรรมไม่ยืดหยุ่น
จึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การเรียน การงาน และการเข้าสังคม เพราะเด็กไม่เข้าใจและไม่รู้จักวิธีการมองโลกในมุมมองของคนอื่น
ไม่รู้ว่าคนอื่นมีความเชื่อ ความรู้สึก และความต้องการแตกต่างกับตัวเอง หรือที่เรียกว่า “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา” การใช้คำพูดและการกระทำอาจทำให้คนรอบข้างไม่พอใจ
ประกอบกับการไม่สามารถเข้าใจในมุขตลก หรือคำประชดประชัน รวมทั้งลักษณะการเล่นสนุกตามวัย จึงมักถูกเพื่อนรังแกบ่อยๆ ซึ่งแท้จริงแล้วเด็กแอสเพอร์เกอร์ก็ต้องการเข้าสังคม
อยากหัวเราะไปกับเรื่องตลกร่วมกับคนอื่นๆ เหมือนกัน
เด็กแอสเพอร์เกอร์แม้จะมีความบกพร่องทางสังคม แต่ก็มีศักยภาพและความน่ารักอยู่ในตัวเพราะเขาจะให้อภัยคนง่าย ไว้ใจได้ มีความรับผิดชอบ
ไม่ค่อยรังเกียจหรือรังแกใคร ไม่ลักขโมย ไม่แบ่งแยกคนจากภาษาหรือสีผิว ฉลาดและมีความสามารถ ดังนั้นนอกจากการช่วยเหลือด้านพัฒนาการทางสังคมและการเรียน
ทั้งพ่อแม่ ครู และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดแล้ว ควรที่จะต้องช่วยหาจุดแข็งของเด็กให้พบ เพื่อใช้เป็นจุดเด่นที่ทำให้เพื่อนและสังคมยอมรับ
ซึ่งจะช่วยให้เด็กใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข โดยยังคงรักษาความเป็นปัจเจกบุคคลของเขาอยู่
มีผู้ป่วยแอสเพอร์เกอร์จำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข โดยพ่อและแม่ล้วนมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้ลูกสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้
พ่อและแม่ต้องมีทัศนคติที่ตรงกันว่า ลูกคือของขวัญที่ดีที่สุดของพ่อแม่ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร ขอให้คิดเสมอว่าเป็นความโชคดีอย่างมากแล้วที่ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
โดยพ่อแม่ต้องประคองสุขภาพจิตของตนเองให้ดี แล้วร่วมเดินไปบนเส้นทางเดียวกันด้วยหัวใจที่มั่นคง พร้อมทั้งความเสียสละ
อดทน ไม่ว่าจะเจอปัญหาหนักเพียงใดก็จะสามารถแก้ไขและก้าวผ่านไปได้อย่างแน่นอน